วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Inception vs Dark City อะไรที่ขาดหายไป!!!


มาอีกครั้งครับ วันนี้ไปดูหนังเรื่อง Inception : จิตพิฆาตโลก เรื่องที่เค้าว่าเป็นว่าที่หนังยอดเยี่ยมออสการ์ปีหน้าครับ เค้าว่ากันว่างั้นนะครับส่วนตัวผมไม่เชื่อหรอกครับนอกจากจะได้ไปเห็นไปดูกับตาตัวเองถึงจะบอกได้ว่าเค้าพูดจริงหรือเปล่า หนังเรื่องนี้จะว่าไปฟอร์มดีครับเพราะเป็นหนังของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับ แบทแมน แบ็คไนท์ และอีกเรื่องก็ ดาร์ค ซิตี้ เมืองเปลี่ยนสมอง มนุษย์ผิดคน ต้องบอกว่าหนังสองเรื่องนี้สุดยอดทั้งสองเรื่องครับ inception นี่วางโครงเรื่องได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนแบบสามชั้นสี่ชั้นเลย ส่วนดาร์ค ซิตี้ ก็วางโครงเรื่องได้สุดยอดเช่นกัน บรรยากาศของหนังสองเรื่องนี้ผมต้องบอกว่าต่างกันพอดู inception เล่นกับจิตมนุษย์ที่ต้องการรู้ความจริงในสิ่งที่ลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใจ ส่วนดาร์ค ซิตี้ เล่นกับความอยากที่จะมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ โทนเรื่องก็เดินเรื่องไปอย่างที่ว่าเหนือชั้น ดนตรีประกอบก็ทำให้เร้าใจเรียกว่าทั้งสองเรื่องได้ใจผมไปเต็มๆ ก่อนอื่นต้องบอกว่า Inception นั้นเดินเรื่องพร้อมกับดาราที่ทรงพลังพร้อมบทที่ส่งให้แต่ละตัวละครแสดงได้ออกมาอย่างโดดเด่นไมว่าจะเป็น Leonardo DiCaprio, Ken Watanabe, Joseph Gordon-Levitt, Marion Cotillard, Ellen Page, Tom Hardy, Talulah Riley, Cillian Murphy, Tom Berenger, Michael Caine ต้องบอกว่าแสดงกันได้สมบทบาททุกตัวละครใจผมนั้นชอบ Marion Cotillard ดาราสาวชาวฝรั่งเศส ที่ผมรู้จักเธอจากเรื่อง Taxi เวอร์ชั่นฝรั่งเศส ส่วนนายลีโอ นี่ก็ต้องบอกว่าดังมาจาก titanic ส่วนที่ชอบอีกก็ทั้งหมดในทีมแสดงหลักครับ แสดงกันได้ดีทุกคนครับ โหจะว่าไปหนังดีไปหมดก็จะว่ากันว่าไม่มีข้อเสียเลยเหรอ ผมว่ามันก็มีนะครับเนื้อเรื่องที่ยาวทำให้คนที่ไม่ชอบหนังยาวว่าได้ บทหนังที่ตัดไปตัดมาระหว่างความจริงกับความฝันนี่ก็อาจทำให้หลายๆ คนไม่ชอบได้เหมือนกันแต่ผมว่าส่วนตัวผมชอบครับ สำหรับเวลาเกือบสองชั่วโมงครึ่งผมว่ามันผ่านไปอย่างรวดเร็วจะไม่อยากให้จบซึ่่งตอนจบก็เป็นที่ถกเถึยงกันอยู่ว่าพระเอกเรากลับมาแล้วหรือยังฝันอยู่ก็ต้องตีความกันไปครับ

 ส่วนเรื่อง ดาร์ค ซิตี้ นั้นต้องบอกว่าเป็นหนังที่ผมชื่นชอบเหมือนกันผมไม่ได้ดูในโรงแต่ผมเห็นแผ่นที่ร้านก็เลยหยิบๆ มาดูตอนแรกก็ซื้อเป็น vcd ตอนหลังก็ไปตามหา dvd มาจนได้ต้องบอกว่าสุดยอดเหมือนกันครับ หนังมากับแนวคิดที่ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าโลกเราไม่มีวันกลางวัน เมืองที่มีแต่กลางคืน ไม่เคยหลับไหล มนุษย์เราไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ตื่นมาต้องเจอแต่เรื่องใหม่ๆ ทุกวัน ไม่เคยจำอะไรได้เลย แม้ว่าจะพยายามคิดหนักขนาดไหน หนังมาในโทนมืดตลอดเรื่องเรียกว่าใครได้ดูต้องชอบถ้าไม่ชอบมาว่ากันได้เลยครับ หนังเรื่องนี้เล่นกับจิตของคนที่ต้องการหาความจริง คนหาในสิ่งที่ขาดหายไป สงสัยในสิ่งที่ไม่รู้ เป็นพื้นฐานของคนเรา แล้วจุดที่ชอบคือพวกต่างดาวที่บังคับและดูดความฝันและจิตใจของมนุษย์เผื่อที่จะเอามาใส่ให้ตัวเองเพื่อที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบให้ได้ เป็นไงครับแปลกดีไหม ผมว่าเรื่่องนี้ในยุคนั้นก็จะมี the matrix ที่แปลกแบบนี้แฝงหลักปรัชญาเข้าไป ผมชอบรูฟัส ซีเวลล ที่แสดงเป็นจอนห์ เมอร์ด็อก คีเฟอร์ ซูเทอร์แลนด์ ที่แสดงเป็นหมอที่้คอยช่วยพระเอกเรา เจนนิเฟอร์ คอร์เนลลี่ นางเอกสาวสวยที่สวยตลอด วิลเลี่ยม เฮริท์ ที่แสดงเป็นนายตำรวจผู้สงสัยในความเป็นไปของเมืองที่อาศัย ต้องบอกว่าสุดยอดอีกเรื่องแต่เรื่องนี้จะว่าไปไม่ค่อยได้โปรโมทในช่วงที่มาฉายในบ้านเราก็เลยดูเงียบๆ แต่ต้องบอกว่าไม่หลุดลอดสายตาผมไปได้หรอกครับ ผมเสาะแสวงหามาดูจนได้ 555  แต่หนังก็ต้องบอกว่าหากไม่ชอบก็ต้องบอกว่าหนังน่าเบื่อเหมือนกัน หนังอาจไม่แอ็คชั่้นมากนักก็เป็นจุดที่ต้องบอกว่าเป็นข้อเสียได้เหมือนกัน แต่จะไปสนใจทำไมล่ะครับ ผมชอบเป็นการส่วนตัวเลยล่ะ ต้องบอกว่าลองหาดูกันนะครับ


สองเรื่องนี้ต้องบอกว่าจุดที่คล้ายก็คือเล่นกับจิตของคนเรา ไม่ว่าจะเป็นด้านดีด้านร้ายก็ว่าไป การเดินเรื่องทำไปอย่างไหลลื่น จะว่าไปต่อให้บอกว่าดียังไงก็ไม่สู้ไปดูกับตาครับ แล้วจะรู้ว่าในทั้งสองเรื่องนี้ค้นหาอะไรที่ขาดหายไป


วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เล่าหนังนอกโรง (ตามประสาคนชอบเล่า)

             จั่วหัวเรื่องไว้แบบนี้ก็ต้องบอกว่าชอบเล่าหนังให้ฟังไหม ก็เปล่านะครับแต่จะดูแล้วคิดตอนหนังจบว่าเป็นอย่างนี้อย่างนั้นหรือเปล่า จริงๆ ก็ต้องบอกว่าหนังแต่ละเรื่องที่ดูก็ให้สาระต่างกันไป ช่วงที่ผ่านมาที่หายๆ ไปก็อย่างที่บอกว่างานรัดตัววิกฤตเข้าเส้นเลยก็เลยหายไปพักตอนนี้ก็ยังวิกฤตอยู่(เป็นทุกคนแน่ๆ) แต่ผมก็ได้ไปดูหนังมาหลายเรื่องนะก็เลยมาชวนให้ไปดูกันครับ หนังที่ไปดูมาก็มี The A Team, Prince of Persia  เอดูแค่สองเรื่องเองนะนี่ แต่ไม่เป็นไรครับมาว่ากันเลย  The A Team บู๊ๆๆๆๆ แล้วก็บู๊ๆๆๆๆ ไม่มีไรมากตอนแรกผมก็คิดว่าน่าจะถูกใจคนบ้านเราแต่ว่าหนังยังขาดส่วนผสมบางส่วนไปทำให้ไม่ถึงรสชาติที่ถูกใจมากนัก ก็เรียกว่าดูกันเอามันส์ไว้ก่อนครับ ส่วนเรื่อง prince of persia เรื่องนี้ก็เหมือนเรื่องแรกที่ขาดอะไรไปบางอย่างถึงแม้ว่าจะทุ่มทุนสร้างสูงก็ไปได้ทีละนิดจริงๆ พอพีผมไปดูอันดับ box office มาเห็น avatar หนังที่ผมว่ายังไงๆ ก็รุ่งเรื่องรายได้แต่ผมเฉยๆ กับหนัง เค้าทำรายได้ไปแล้ว 749.6M เยอะมากๆ เลยครับอยากทำหนังแล้วได้ตังค์แบบนี้บ้างจังเลย แต่ให้ไปเรียนทำหนังตอนนี้คงไม่ทันแล้วก็ดูอย่างเดียวดีกว่าสนุกดี
             ส่วนเรื่องที่ต้องไปดูก็ กวน มึน โฮ, บุญชู 10 อันนี้พลาดไม่ได้เพราะชอบมากๆ, อีกเรื่องก็ harry potter ก็แล้วกันครับ ตอนนี้นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเรื่องไหนน่าดูจนกว่าจะได้ดูตัวอย่างหนัง อ้ออีกเรื่องก็ king of fighters น่าจะสนุกเป็นหนังสร้างจากเกม ว่าแล้วไปหาดูหนังตัวอย่างก่อนแล้วมาเล่าใหม่ดีกว่า คราวหน้าเจอกันใหม่ครับ  

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

Green Zone : โคตรคนระห่ำ ฝ่าโซนเดือด




Green Zone : โคตรคนระห่ำ ฝ่าโซนเดือด
กำหนดฉาย : 11 มีนาคม 2553
แนว : Drama Thriller
นำแสดง : แม็ตต์ เดม่อน (Matt Damon ), เกร็ก คินเนียร์ (Greg Kinnear), เอมี่ ไรอัน (Amy Ryan), เบรนแดน กลีสัน (Brendan Gleeson), เจสัน ไอแซ็คส์ (Jason Isaacs), กาลิด อับดัลล่า (Khalid Abdalla)
กำกับ : พอล กรีนกราส (Paul Greengrass)

ตอนแรกผมได้ยินชื่อผมก็คิดในใจว่า เอ...แม็ตต์ เดม่อน กับหนังใหม่ทำไมมันชื่อแต๋วจังหว่า แต่ว่าเมื่อมองที่ทีมงานที่ทำเรื่องนี้ ต้องร้องบอกว่าโอ๊ๆๆๆ แม่เจ้านี่มันนอมินีของ The BOURNE ทั้งหลายแหล่ที่แกแสดงนี่หว่า แถมผู้กำกับก็คนเดิมนายพอล กรีนกราส คนเดิมที่กำกับหนังแบบดิบๆ ได้ใจจริงๆ จะบอกว่าแกกำกับแบบไม่ต้องใช้ตัวแสดงแทนให้เปลืองตังค์ แกเน้นแสดงจริง เจ็บจริง ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้แสตนด์อิน อันนี้แซวเล่นครับ เอ้ามาว่ากันต่อครับจริงๆ จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่วันแรกที่ได้ไปดูแล้วล่ะครับแต่ว่าผมก็มัวทำโน้นทำนี่เยอะไปหมดก็เลยลืมๆ ไปจนกระทั่งวันนี้แหล่ะว่างแล้ว (ว่างแล้วจริงๆ นะนี่) หนังเรื่องนี้จะว่าไปตอนแรกที่ผมเดินเข้าไปแล้วเริ่มต้นเรื่องเห็นปีที่หนังเริ่มเรื่องผมก็แปลกใจว่ามันหนังย้อนยุคหรือไงนี่ จริงๆ ผมไม่ได้อ่านเรื่องย่อของหนังเรื่องนี้ก่อนเลย ที่ตัดสินใจดูก็เพราะว่าอยากหาดูหนังที่แตกต่างออกไปเพราะผมมันเป็นคนไม่ชอบความจำเจ เพราะฉะนั้นหนัง Green Zone ก็เลยเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนั้น แล้วผมคิดว่าหนังเป็นสงครามแอ็คชั่นน่าจะสนุกทีเดียว แล้วผมก็ไม่ผิดหวังกับตัวเลือก หนังสร้างได้คุณภาพมาก ฉาก เนื้อเรื่อง การตัดต่อ บทหนัง ดีครับ ผมว่าผมชอบนะ จะว่าไปแล้วหากคนที่ไม่เคยดูไสตล์ของ พอล กรีนกราส กับ แม็ตต์ เดม่อน แล้วอาจจะไม่ชอบก็ได้ หนังมันเดินเรื่องเร็วแล้วภาพจะออกมาแบบดิบๆ ไม่แต่งเติมซักเท่าไหร่ แบบว่าได้อารมณ์ดีแท้

Green Zone เรื่องนี้ผมว่ามีอะไรให้ต้องคิดต้องติดตามหลายๆ อย่างเลย หนังมุ่งเน้นที่สงครามที่อเมริกาเข้าไปมีส่วนจัดระเบียบสังคมประเทศอิรักที่ใครๆ ก็ไม่รัก การปฎิบัติการค้นหาความจริงที่แสนเจ็บปวดในการกระทำเพื่อประเทศ การหักหลังกันเองเพื่อไปสู่จุดที่ตั้งไว้ ผมว่าหนังเรื่องนี้ตบหน้าเหตุผลของการทำสงครามของประเทศบางประเทศเลยครับ เหตุผลที่อ้างไปเพื่อที่จะได้เข้าไปจัดระเบียบประเทศนั้นๆ มันหน่อมแน้มไปนิดแต่ก็ทำไรไม่ได้เพราะว่าการมีกำลังที่เหนือกว่าก็เป็นสิ่งที่ถือไพ่เหนือกว่า ก็ขำดีครับกับเหตุผลแบบนี้ พอดูหนังแล้วหันมาดูบ้านเราแล้วก็อดเศร้าไม่ได้ที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ประเทศไทยเราต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ต้องบอกว่าไม่อยากให้เกิดกับบ้านเมืองเรา ผมก็ได้แต่ภาวนาให้บ้านเราสงบโดยเร็ววันไม่งั้นผมว่าเหตุการณ์มันต้องลากยาวแน่ๆ ไม่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่สมหวังแต่คนที่เจ็บปวดก็คือประเทศไทยเราครับ บ่นไปเดี๋ยวจะหาว่าเป็นพวกคอการเมืองไปอีก แต่สรุปว่าหนังเรื่อง Green Zone เป็นหนังเยี่ยมในตัว แม้ว่าบางคนอาจจะไม่เห็นด้วยกับผมๆ ก็ว่ามันดีนะได้ดูแอ็คชั่นเจ็บๆ ได้เห็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่าที่ประเทศใหญ่ๆ ชอบอ้างเหตุผลในการทำอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ที่ชอบคือความซื่อสัตย์ในความจริงที่เป็นอยู่ของใครบางคนแม้ว่าความจริงนั้นจะเจ็บปวดก็ตาม และได้เห็นสิ่งที่คนในประเทศนั้นๆ คิดต่อประเทศตัวเอง ความรักที่มีต่อประเทศบ้านเกิด แหมว่าไปนั่นต้องบอกว่าให้ไปดูกันครับ หนังดี ไม่เสียดายตังค์แน่ๆ ( ผมใช้บัตรฟรีอีกแล้วครับ)

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

The Classic คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต

The Classic คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต



วันนี้ตอนนั้งรถกลับบ้านเห็นเด็กนักเรียนม.ปลาย ดูโทรทัศน์ด้วยมือถือแถมดูละครเกาหลีเสียด้วยสิ พอมาถึงบ้านผมมานั่งๆ คิดว่าเอเดี๋ยวนี้กระแสเกาหลียังไม่จางหายจากบ้านเราเลย ผมก็เลยเปิดบล็อกของผมเองขึ้นมาดู อ่านเรื่องที่เขียนไปเมื่อวานก็นึกในใจว่ากระแสเกาหลีฟีเวอร์มาแรงจริงๆ ผมก็เป็นอีกคนที่ได้รับกระแสนี้อย่างเต็มๆ ไม่แต่เกาหลีนะครับ ญี่ปุ่นฟีเวอร์ผมก็รับมาเต็มๆ เกาหลีนี่ผมชอบหนังเค้าสร้างออกมาได้ใจได้อารมณ์ ผมชอบรายการแฟมิลี เอ้าท์ติ้งด้วยครับ ชอบ MC ยู แจ ซอก ชอบ เยจินและก็เฮียวริ ผมติดตามดูครบเลยโหลดจากเวปนี่แหล่ะมีทุกตอนด้วยสนุกดีขอบอก ตอนนี้ขึ้นซีซั่นสองแล้วเปลี่ยนพิธีกรยกทีมเลย ก็ต้องดูกันว่าจะมาแรงเหมือนซีซั่นแรกหรือเปล่า ส่วนญี่ปุ่นผมชอบหนังซีรีย์ครับจะบอกว่าสนุกสุดๆ เหมือนกันดูเกือบทุกเรื่องเลย ไมว่าจะเป็นเรื่อง Hero ที่คิมูระ ทาคูยะแสดง ชอบเรื่อง Galieo ที่หนู โค ชิบาซากิ แสดงกับ Fukuyama Masaharu ที่แสดงเป็นยูกาว่า เซนเซ ก็คืออาจารย์มหาวิทยาลัยนั่นแหล่ะครับ ชอบน้อง มาซามิ นากาซาว่า ที่แสดงเรื่อง Operation Love น้องแกน่ารักสุดๆ ชอบน้องโทดะ เอริกะ ที่แสดง Liar Game น้องเค้าก็น่ารักสุดๆ เดี๋ยวผมจะเอามาเล่าทีละเรื่องๆ กันไปเลย แต่อีกนั่นแหล่ะ แต่ก่อนที่จะออกนอกเรื่องมาว่ากันกับหนังที่อยากแนะนำให้ดูกัน

" The Classic คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต " ตอนนั้นผมไปดูหนังเรื่องนี้ไม่ทันหนังออกโรงก่อน แต่ได้น้องที่ออฟฟิศเก่าเค้าเอาแผ่นมาให้ดู ผมว่าที่ผมชอบดูหนังเกาหลีนี่ก็เป็นอิทธิพลจากน้องคนนั้นด้วยเหมือนกัน ว่ากันต่อเรื่องนี้ครับ ผมว่าหลายๆ คนคงได้เคยดูผ่านตามาแล้วบ้างแหล่ะแต่ถ้ายังไม่เคยดูก็มาติดตามเรื่องราวความรักที่สุดแสนจะโรแมนติกทีผมก็อยากให้เกิดกับผมเหมือนกันนะนี่ หนังเรื่องนี้บอกผมว่าพรมลิขิตรักไม่อาจฝืนได้ แม้ว่าจะพยายามอย่างไรถ้าไม่ใช่คู่กันแล้วก็ยากจะลงเอยกันได้

หนังเรื่องนี้มาพร้อมกับเนื้อหาความรักที่ไม่สมหวังแต่กว่าจะลงเอยกันได้ก็แทบตาย เรื่องนี้มีทั้งรักทั้งเศร้า ความรักที่เพื่อนมีให้ต่อกัน การเสียสละเพื่อความรักที่ยอมได้แม้ต้องผิดหวัง มีครบรสเลยครับ มาๆ ว่ากันว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงน่าดู ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้ใจผมไปเต็มๆ ผมไม่รู้นะว่าคนอื่นๆ จะชอบเหมือนผมไหมแต่เอาว่าผมชอบในแบบของผมและผมอยากให้ลองหาหนังมาดูครับไม่ผิดหวังแน่นอน


ลองดูจาก MV ที่ผมเอามาให้ดูครับ สำหรับ MV ที่เอามาให้ดูนี่ก็ต้องบอกว่าผมก็ชอบอีกเพราะดนตรีที่ทำออกมาทำได้กินใจมากๆ โดยเฉพาะเสียงกีตาร์ตอนอินโทร มันใสกรุ๊งกริ๋งได้ใจจริงๆ ครับ เนื้อหาจะเรียงร้อยตามหนังเลยครับ ผมชอบที่ว่าหนังให้ความรักของรุ่นพ่อแม่ไม่สมหวังและรุ่นลูกก็ทำท่าว่าจะไม่สมหวังอีกเพราะอุปสรรคคอยขวางกั้น แต่อะไรจะมาสู้รักแท้ที่มีให้กันดังนั้นความรักของรุ่นลูกก็เลยสมหวังแม้ว่าต้องเจออุปสรรคที่ว่าสาหัสสากรรณขนาดไหน

จะว่าไปในหนังมีหลายๆ ฉากที่ผมชอบไมว่าจะเป็นพ่อของพระเอกที่ยอมสละหญิงสาวที่เค้าให้กับเพื่อนรักที่ชอบหญิงสาวเหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็นที่มาของความรักที่แสนเศร้า ผมยังชอบอีกตอนครับ จุนฮากลับมาจากสงครามแล้วมาพบกับจูฮี ซึ่งจุนฮาพยายามสร้างบรรยากาศการพูดคุยให้สนุกสนาน เขามองไปที่เปียโนและพูดถึงเด็กชายที่นั้งเล่นเปียโนทั้งๆ ที่เด็กชายนั้นได้มานั่งข้างหลังของจุนฮาแล้ว จุนฮีถึงกลับน้ำตาไหลเมื่อรู้ว่าจุนฮาตาบอดไปแล้วแต่ยังพยายามปิดเธอไม่ให้รู้แถมยังโกหกว่าเขาแต่งงานไปแล้วเพื่อให้จุนฮีได้ตัดใจจากเขา ผมน้ำตาคลอเลยครับ เมื่อตอนจุนฮาเดินสะดุดโต๊ะล้มลงแต่ยังบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร มันซึ้งจนผมอยากร้องไห้เลยล่ะ ถามว่าผมชอบความรักของรุ่นจุนฮาหรือจีฮี ผมว่าผมชอบรุ่นจุนฮาครับ รักบริสุทธิ์ ใสซื่อ การเสียสละที่พร้อมให้ทุกอย่างกับคนที่เรารัก แต่ความรักในรุ่นลูกผมก็ชอบนะครับแต่ผมชอบรุ่นจุนฮามากกว่า

ตอนผมซื้อ DVD เรื่องนี้เป็นรุ่น limited Edition รับในกล่องมีสมุดภาพด้วย สวยครับน่ารักเชียว เห็นว่าตอนหนังเข้านี่ดาราที่แสดงเรื่องนี้ถึงกับต้องบินมาโชว์ตัวด้วยเลยนะครับ เสียดายว่าผมก็ไม่ได้ไปดูอีกนั่้นแหล่ะ เขียนมาเยอะแล้วก็ไปหามาดูนะครับ เรื่องนี้ผมยกให้เป็นหนึ่งในเรื่องโปรดของผมเลยล่ะ และอยากบอกว่าผู้กำกับ Kwak Jae-yong คนนี้กำกับหนังได้เยี่ยมมากๆ แกยังไปทำหนังเรื่อง Cyborg She ด้วยนะครับ กำกับน้อง ฮารุกะ ฮายาเซะ ได้น่ารักมากๆ เอาเป็นว่าอย่าพลาดครับ




วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

My Sassy Girl : ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม



วันนี้นั่งเล่นๆ นั่งปล่อยความคิดไปเรื่อยแล้วก็พาลไปนึกถึงหนังเกาหลีที่ดูแล้วชอบ มันมีหลายเรื่องและเรื่องหนึ่งที่นึกขึ้นมาทันทีก็เรื่อง My Sassy Girl หนังที่ จวนจีฮุน และ ชาแตฮุน แสดงครับ หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่พลิกวงการหนังเอเซียเลยก็ว่าได้ เป็นหนังที่เปิดตัว จวนจีฮุน และ ชาแตฮุน ให้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกเลยก็ว่าได้ หนังเรื่องนี้จะว่าไปมันก็ไม่ต่างจากหนังบ้านเราครับเนื้อเรื่องก็ไม่ได้แปลกมากนักแต่ว่าที่ชอบๆ กันเพราะความสดและการให้อารมณ์หนังที่สนุกและนักแสดงนำทั้งสองก็แสดงได้อย่างแจ่มเลย จะว่าไปเรื่องนี้ก็เป็นที่ชื่นชอบของผมเหมือนกันนะครับ ผมไปเสาะหาข้อมูลจากเน็ตมาก็เอามาให้เพื่อนๆ ได้อ่านพอคิดถึงแล้วไปหามาดูกันครับให้หายคิดถึงกัน หลังจากที่ดูเรื่องนี้แล้วต้องบอกว่า จวนจีฮุน เป็นดาราสาวที่ผมชอบมากจริงๆ นะครับ หลังจากหนังเรื่องนี้แล้วสาวน้อยขวัญใจผมก็มีหนังออกมาอีกเยอะเลยครับรวมทั้งพ่อหนุ่มเจี๋ยมเจี้ยมก็เหมือนกัน จะว่าไปหนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่อยุ่ในใจผมเลยครับ เนื้อเรื่องย่อๆ ก็มีว่า
เริ่มขึ้นในคืนวันหนึ่ง เมื่อหนุ่ม 'Gyunwoo' ได้ไปพบกับหญิงสาวคนหนึ่งโดยบังเอิญ ที่สถานีรถไฟใต้ดิน ซึ่งเหตุการณ์อันไม่ธรรมดามากมาย ที่มาบรรจุอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ จะให้ผู้ชมได้รู้สึกถึงความตลกขบขัน และสนุกสนานอย่างเต็มที่ และแม้จะเป็นที่รับรู้กันดีว่า เรื่องราวของภาพยนตร์ มีต้นกำเนิดมาจากความเป็นวรรณกรรมอินเตอร์เน็ต (internet literature) ก็ตาม ทว่าสิ่งที่ช่วยผลักดัน ให้เรื่องราวของภาพยนตร์ ดำเนินไปอย่างมีรสชาติ ก็คือการพรรณนาถึงความรู้สึกนึกคิด อันบริสุทธิ์ผ่องใสไร้จริตมารยา ของหนุ่มสาวยุคใหม่ ผ่านมุมมองสำนึกแห่งวัยเยาว์อันสดใส และนำมาซึ่งอารมณ์เบิกบานเปี่ยมชีวิตชีวา